ถ้าถามว่า...หน้าหนาวมหาชนชาวไทยชอบไปเที่ยวที่ไหนกัน คำตอบของหลายๆ คนคงหนีไม่พ้น “เชียงใหม่” ซึ่งเป็นจังหวัดที่ทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “เที่ยวกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ
เตรียมขาให้พร้อม
- ดอยหลวงเชียงดาวสูง 2,225 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์และดอยผ้าห่มปก
- การจะขึ้นไปกางเต็นท์บนดอยหลวงเชียงดาวนั้น สามารถขึ้นได้แค่ พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ ระยะเวลา เพียง 4 เดือนเท่านั้น และไม่อนุญาตให้ขึ้นในวันพุธของทุกสัปดาห์
- ก่อนจะขึ้นต้องจองคิวผ่าน http://www.chiangdao-wildlife.com/เมื่อจองสิทธิ์ได้แล้วต้องเตรียมเอกสาร หนังสือขออนุญาตเข้าพื้นที่ สำเนาบัตรประชาชนของผู้เดินทางทุกคน ไปยื่นในวันที่จะขึ้นดอยด้วยครับ
- ในหนึ่งวันอนุญาตให้ขึ้นไปพักบนดอยหลวงเชียงดาวได้แค่ 150 คนเท่านั้น และทุกกลุ่มจะต้องมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปด้วย
- เตรียมเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ เสื้อกันฝน ถุงเท้า ถุงมือให้พร้อมเพราะบนดอยหลวงเชียงดาวสภาพอากาศแปรปรวน อาจจะเจอทั้งอากาศหนาวมากและฝนตกได้
- นอกจากเสื้อผ้าที่ต้องเตรียมไปให้พร้อมแล้ว การขึ้นไปพักอยู่ดอยหลวงเชียงดาว เราต้องซื้อชุดขับถ่ายฉุกเฉินจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ไปด้วยครับ โดยด้านในจะมีถุงดำย่อยสลายได้สำหรับถ่ายหนัก 4 ใบ ถุงสำหรับใส่ฉี่ 2 ใบ และกระดาษทิชชู่แบบธรรมดา 2 แพค ส่วนทิชชู่เปียกไม่อนุญาตให้เอาขึ้นไปนะครับ
- อาหารการกิน...แม้ด้านบนจะมีขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ผมซื้อเสบียงพวกเนื้อหมู ผักสด และเตรียมอุปกรณ์ทำอาหารขึ้นไปด้วย ส่วนแก๊สกระป๋องด้านบนมีขายครับ
- เตรียมออกกำลังกายให้ขาพร้อมสำหรับการเดิน เพราะดอยหลวงเชียงดาวนั้นต้องใช้เวลาเดินประมาณ 4 - 6 ชั่วโมงและทางขึ้นโหดไม่ใช่เล่นเลย
- อย่าลืมพกยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยานวดบรรเทาปวด ยาทาแก้แมลงกัดต่อยและยารักษาโรคประจำตัวกันด้วยนะครับ
- ที่สำคัญ อย่าลืมทำประกันเพื่อให้การท่องเที่ยวสนุกได้เต็มที่ ไม่มีกังวลในวันแรกที่ไปถึงเมืองเชียงใหม่ ผมมุ่งหน้าไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อ.เชียงดาว ทันที เพื่อลงทะเบียนและกรอกเอกสาร จากนั้นจัดการจ่ายค่ามัดจำขยะ เช่าถุงนอน ซื้อชุดขับถ่ายฉุกเฉิน จากนั้นออกเดินทางไปยังหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก หรือที่นักเดินทางเรียกกันว่า “เด่นหญ้าขัด” เพื่อออกเดินเท้ากันที่นั่น
โชคดีในช่วงที่ผมไปได้เห็น “ต้นเทียนนกแก้ว” ต้นไม้หายากที่พบได้เพียงที่เดียวคือที่ดอยหลวงเชียงดาว รูปทรงของมันคล้ายกับนกตัวเล็กๆ มองดูแล้วรู้สึกราวกับว่ามันกำลังบินอยู่ที่ต้นไม้เลยครับ
แม้จะเหนื่อยแต่ได้เห็นภาพภูเขาสีเขียวคลอเคลียไปด้วยหมอกและพระอาทิตย์สวยๆ ในยามเช้านับว่าเป็นการปีนที่คุ้มค่าครับ
ตลอดทั้งวันเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ ที่สำคัญ ลืม 4G ไปได้เลย ...แทบไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับโลกภายนอก พอช่วงแดดร่มลมตก ก็เริ่มปีนผากันอีกครั้งเพื่อขึ้นไปยังจุดสูงสุดของดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งจุดนี้เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกครับ
ผมส่งต่อประสบการณ์ได้แค่เพียงภาพถ่ายและตัวอักษร แต่ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ผมไม่สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกแบบผมได้ อยากให้ไปลองศึกษาธรรมชาติของดอยหลวงเชียงดาวดูเองสักครั้ง...ไม่ว่าจะเหนื่อย ท้าทายกำลังขาและใจขนาดไหนเทียบกับประสบการณ์ก็ได้มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้มครับ
แม้การขึ้นไปศึกษาธรรมและซึมซับความงามบนดอยหลวงเชียงดาวจะจบลงพร้อมกับความประทับใจ แต่ทริปเชียงใหม่ครั้งนี้ยังไม่จบง่ายๆ หรอกครับ ได้ออกเดินทางทั้งทีเรายังคงเที่ยวเมืองเชียงใหม่กันต่อ
ปางช้างแม่สา
ก่อนจะเข้าตัวเมืองเชียงใหม่เราแวะเที่ยวกันที่ “ปางช้างแม่สา” หมู่บ้านช้างขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ สำหรับกิจกรรมยอดฮิตของที่นี่คือ การโชว์ช้าง อาบน้ำช้างและเนอสเซอรี่ น่าเสียดายที่ผมไปไม่ทันโชว์ช้างรอบสุดท้ายวัดพระธาตุดอยสุเทพ
ใครไปใครมาเมืองเชียงใหม่ต้องแวะมาสักการะ “พระธาตุดอยสุเทพ” ปูชนียสถานคู่บ้านคู่เมืองสักครั้ง ที่นี่เป็นที่เที่ยวยอดฮิต มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติแวะเวียนไปกราบสักการะไม่ขาดสาย จนเรียกได้ว่าหากใครมาเที่ยวเชียงใหม่แล้วไม่ไปพระธาตุดอยสุเทพ แสดงว่ายังมาไม่ถึงครับตัวพระธาตุดอยสุเทพนั้นตั้งอยู่บนยอดดอยที่มีความสูง 1,053 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร เราสามารถขับรถขึ้นมาเองหรือจะนั่งรถแดงขึ้นมาก็ได้ ด้านบนมีร้านค้าขายของกินของฝากตั้งอยู่เรียงราย ส่วนวิธีการขึ้นไปสักการะพระธาตุแล้วแต่เราจะเลือกเลยว่าจะเดินขึ้นบันไดนาคประมาณ 300 ขั้น หรือขึ้นลิฟท์รางเลื่อน โดยค่าขึ้นลิฟท์ไป - กลับคนละ 20 บาทเท่านั้น เมื่อไปถึงด้านบนนักท่องเที่ยวทุกคนต้องถอดรองเท้า ซึ่งทางวัดมีตู้ล็อคเกอร์ พร้อมกุญแจเสียบไว้ให้เราเอารองเท้าไปใส่ได้ครับ
หลังจากสักการะพระธาตุกันแล้ว อย่าลืมไปชมวิวเมืองเชียงใหม่จากจุดชมวิวของวัดกันสักหน่อยครับ เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังในจังหวัดเชียงใหม่เลย
วัดอุโมงค์ สวนพุทธรรม
จากบนยอดดอยสุเทพ กลับลงมาบริเวณเชิงดอย ไม่ไกลจากมหาลัยเชียงใหม่มากนัก เราแวะไปที่ “วัดอุโมงค์” วัดเก่าแก่อายุกว่า 700 ปี นับว่าเป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานวัดหนึ่งเลยครับผมว่าเสน่ห์ของที่นี่ นอกจากอุโมงค์ที่ดูแปลกตาแล้ว ก็ความสงบร่มเย็นนี่แหละครับ ...ไม่ว่าจะร้อนมาจากไหนก็เย็นลงได้ทั้งกายและใจด้วยบรรยากาศแสนสงบและร่มรื่นของวัดแน่นอน
มาเชียงใหม่ต้องก๋างจ้อง
จ้องเป็นภาษากำเมืองแปลว่า “ร่ม” ครับ ซึ่งร่มเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองล้านนาที่เราเห็นกันบ่อยๆ และหากย้อนเวลาไป 50 ปี มาเที่ยวเชียงใหม่คงได้เห็นผู้หญิงแต่งตัวพื้นเมืองนุ่งผ้าซิ่น ปั่นจักรยานกางร่มให้เห็นกัน แม้เดี๋ยวนี้ไม่มีแม่หญิงกางร่มปั่นจักรยานแล้ว แต่แหล่งทำร่มยังมีให้เห็นอยู่นะครับ
มื้อเย็นที่ ‘คุ้มขันโตก’
การกินข้าวแบบขันโตกนั่งล้อมวงกัน คือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเมืองล้านนา และหากมาเมืองเชียงใหม่นั้นพลาดไม่ได้จริงๆ ครับ กับมื้อเย็นสุดพิเศษที่ “คุ้มขันโตก” ร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่จะทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์กินอาหารแบบล้านนาแท้ๆ
ความพิเศษของที่นี่ไม่ใช่แค่อาหารเหนือแบบขันโตก แต่ยังเพลิดเพลินไปกับการแสดงที่มีเยอะถึง 9 ชุด ทั้งศิลปะการฟ้อนรำสไตล์ล้านนาและจากทุกภาคของไทย เรียกได้ว่ามื้อที่อิ่มแปล้และเพลินสุดๆ เลยครับ
ถนนคนเดินท่าแพ
ค่ำคืนของเมืองเชียงใหม่ยังอีกยาวไกล...หากใครมาเที่ยวเชียงใหม่ผมแนะนำให้ติดช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะสองวันนี้เป็นวันที่มีถนนคนเดิน อย่างวันที่ผมไปเป็นวันอาทิตย์มี “ถนนคนเดินท่าแพ” ครับสูงสุดในประเทศไทยที่ “ดอยอินทนนท์”
ผมว่าเชียงใหม่เป็นจังหวัดรวมดาวเด่นครับ เพราะยอดดอยที่สูงอันดับ 1, 2 และ 3 ของประเทศตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ทั้งหมดเลย สำหรับเช้าอีกวันในจังหวัดเชียงใหม่ ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางไปยัง “ดอยอินทนนท์ ดอยที่สูงเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทย และแม้จะเป็นยอดดอยที่สูง แต่กลับเดินทางขึ้นไปบนยอดกลับง่ายที่สุด เพราะสามารถขับรถขึ้นไปได้เลย ซึ่งด้านบนมีจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเช็คอินอยู่หลายจุดครับ แต่ครั้งนี้ผมเลือกไปในจุดไฮไลท์สำคัญ 2 จุด คือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา” และ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน”
เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา
เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา เป็นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทางประมาณ 300 - 400 เมตร รอบข้างเป็นป่าไม้เมืองหนาวลำต้นสูง แสงแดดส่องลงมาไม่ถึงพื้น บรรยากาศหนาวเย็น บางช่วงลมพัดหอบเอาหมอกมาปกหลุมทั่วทั้งป่าราวกับว่าเรากำลังเดินอยู่ในฝันเลยครับความเขียวของต้นไม้และมอสที่ขึ้นอยู่ทั่วเส้นทาง หยดน้ำเกาะอยู่ตามใบไม้ทำให้รู้สึกสดชื่น บรรยากาศฉ่ำๆ มีเสียงนกร้องแว่วมาตามสายลมให้ได้ยินเป็นครั้งคราว ทำให้ไม่อยากกลับเลยครับ อยากเดินเล่นชิลๆ ถ่ายรูปธรรมชาติอยู่ในนั้นนานๆ หากกดชัตเตอร์แล้วได้ทั้งภาพและอากาศมาด้วยคงจะดีไม่น้อยเลยครับ
เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน
ชื่อว่าเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วกิ่วแม่ปานมีความแตกต่างกับอ่างกาครับ เพราะกิ่วแม่ปานมีเส้นทางที่ยาวถึง 3 กิโลเมตร ผ่านทั้งป่าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ทุ่งหญ้า จนไปถึงจุดชมวิว โดยการเดินชมธรรมชาติทุกครั้งต้องมีไกด์เป็นเด็กๆ ชาวม้งไปกับเราด้วยครับ