ช่วงนี้หลาย ๆ คนน่าจะได้ยินคำว่า ‘เงินเฟ้อ’ และ ‘เงินเฟียต’ จากสื่อหรือคนรอบ ๆ ตัวบ่อยขึ้น ซึ่งทุกคนก็น่าจะสัมผัสได้ถึงปัญหาบางอย่างภายใต้คำเหล่านี้ แล้วคำว่าเงินเฟ้อและเงินเฟียตนี้ แท้จริงแล้วมันคืออะไร ส่งผลต่อเงินในกระเป๋าของเราแค่ไหน วันนี้เรามีคำอธิบายง่าย ๆ มาฝากกัน
เงินเฟียตเพิ่มเงินเฟ้อ
ในอดีต การที่แต่ละประเทศจะผลิตเงินออกมาใช้ได้นั้น จะต้องมีการสำรองค่าเงินด้วยสินค้ามีค่าอย่าง ทองคำ หรือเงินสกุลอื่น ๆ จนมาในปี ค.ศ. 1971 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศยกเลิกการใช้ทองคำหนุนหลังเงินดอลล่าร์สหรัฐ โดยเงินที่ไม่มีสินค้ามีค่ามาหนุนหลังนี้ถูกเรียกว่า ‘เงินเฟียต (Fiat)’ หรือสกุลเงินที่ออกโดยคำสั่งของรัฐบาล เช่น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ, สกุลเงินยูโร, สกุลเงินปอนด์ และสกุลเงินรูปีอินเดีย เป็นต้น
การเกิดขึ้นของเงินเฟียตทำให้สหรัฐและประเทศอื่น ๆ สามารถผลิตธนบัตรออกมาใช้อย่างไม่จำกัด ตามนโยบายการเงินของประเทศในขณะนั้น เมื่อจำนวนเงินถูกผลิตออกมาเยอะขึ้นมูลค่าของเงินก็ต่ำลง ทำให้เกิดสภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ ที่สูงขึ้น
ภาวะเงินเฟ้อ ก็คือภาวะทางเศรษฐกิจที่สินค้าและบริการต่าง ๆ มีราคาสูงขึ้น ทำให้เงินมีมูลค่าน้อยลง หรือก็คือเงินจำนวนเท่าเดิมแต่ซื้อสินค้าเดิมได้ในปริมาณที่น้อยลง เช่น เมื่อสิบปีก่อน เราอาจจะใช้เงิน 50 บาท ในการซื้อก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น 2 จาน แต่ในปัจจุบันเงิน 50 บาทสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นได้เพียงจานเดียว
การที่เงินเฟ้อจะเกิดขึ้นได้มาจาก 3 เหตุก็คือ อุปสงค์หรือความต้องการของคนที่มากขึ้น ซึ่งเกิดจากเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด, ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต และการคาดการณ์จากธนาคารกลาง ซึ่งแต่ละสาเหตก็จะมีวิธีการแก้ไขที่ต่างกันออกไปนั่นเอง